สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ เปิดปฏิบัติการตรวจค้น 46 จุดทั่วประเทศ ดำเนินคดีนิติบุคคล 442 บริษัท ผู้ต้องหากว่า 1,000 ราย เป็นชาวจีนกว่า 250 ราย ร่วมกันจดบริษัทเพื่ออำพรางการประกอบธุรกิจต่างๆ อาทิ ร้านค้า ร้านอาหาร ร้านซุปเปอร์มาร์เก็ตจีน ธุรกิจนำเที่ยว โกดัง/คลังสินค้า ร้านรับแลกเงินต่างประเทศ/เงินดิจิทัล ถือครองอสังหาริมทรัพย์โดยผิดกฎหมายและหลายบริษัทไม่มีกิจการอยู่จริง จดทะเบียนบริษัทเพื่อเปิดบัญชีม้า รับโอนเงินจากแก๊งมิจฉาชีพในคดีอาชญากรรมออนไลน์ คอลเซ็นเตอร์และฟอกเงิน
สืบเนื่องจากนโยบายรัฐบาลให้ดำเนินการกวาดล้างธุรกิจตัวแทนอำพรางหรือนอมินีในประเทศไทย ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ได้นำนโยบายไปสู่การปฏิบัติโดยประสานความร่วมมือไปยังกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เพื่อจัดพิธีลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) “การป้องกันและปราบปรามปัญหาการเปิดบัญชีม้าของนิติบุคคลและการใช้คนไทยเป็นตัวแทนอำพราง (NOMINEE)” ระหว่างตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เมื่อวันที่ 4 พ.ย. 67 มีการเชื่อมต่อระบบข้อมูลผู้จดทะเบียนนิติบุคคลกับระบบข้อมูลกลาง ของตำรวจสอบสวนกลาง (BIG DATA) เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพในการวิเคราะห์ข้อมูล
ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) ร่วมกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า วิเคราะห์ข้อมูลการจดทะเบียนบริษัท ทำให้พบแผนประทุษกรรมในการกระทำความผิด 2 รูปแบบ คือ
(1) การจดทะเบียนบริษัท โดยใช้คนไทยเป็นตัวแทนอำพราง (Nominee) เข้าทำการตรวจค้น 23 จุดทั่วประเทศ พบนิติบุคคล 244 ราย บุคคล 319 ราย (จีน 248, ไทย 57 สัญชาติอื่น 14 ราย) เบื้องต้นตรวจพบบริษัทลักษณะเป็นนอมินีของชาวต่างชาติ จำแนกเป็นธุรกิจประเภทอสังหาริมทรัพย์ที่มีลักษณะเป็นการค้าที่ดิน, ท่องเที่ยว, ธุรกิจบริการและธุรกิจประเภทอื่นๆ มีทุนจดทะเบียนรวมกัน 891,000,000 บาท
(2) การจดทะเบียนบริษัทนิติบุคคลในลักษณะของบริษัทม้า เพื่อนำไปเปิดบัญชีธนาคารรับโอนผลประโยชน์จากอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และใช้ในการฟอกเงิน เข้าตรวจค้น 23 จุดทั่วประเทศ พบนายทุน จีน, มาเลเซีย(สัญชาติจีน) รวม 8 ราย ว่าจ้างบริษัทบัญชีรวม 14 บริษัท จดทะเบียนนิติบุคคล เพื่อเปิดบัญชีธนาคาร โดยมีทนายความ ผู้ทำบัญชี ผู้รับมอบอำนาจในการจดทะเบียน เป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด และจากการขยายผล พบนิติบุคคลที่เกี่ยวข้อง 198 บริษัท บุคคลธรรมดา 695 คน (ต่างชาติ 37 คน คนไทย 658 คน) ตรวจยึด บัญชีธนาคาร 314 บัญชี เงินหมุนเวียนกว่า 3,600 ล้านบาท