นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เปิดเผยถึงความคืบหน้าการแก้ไขปัญหารถไฟฟ้าสายสีเขียว ว่า เรื่องภาระหนี้สินของรถไฟฟ้าสายสีเขียว ในส่วนของ กทม. ถ้าเป็นหนี้ที่ถูกต้องตามกฎหมายและโปร่งใส กทม. พร้อมจ่ายเพียงแต่ต้องทำให้รอบคอบ
ปัจจุบัน กทม. เป็นคู่สัญญากับกรุงเทพธนาคม และกรุงเทพธนาคมไปจ้างบริษัทเอกชนเดินรถอีกทอดหนึ่ง ภาระหนี้ต่าง ๆ จึงเป็นหนี้ระหว่าง กทม.กับกรุงเทพธนาคม และกรุงเทพธนาคมมีภาระหนี้กับเอกชน โดย กทม.ได้ว่าจ้างและมอบหมายให้กรุงเทพธนาคมดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวใน 2 สัญญาคือ โครงการรถไฟฟ้าบีทีเอสส่วนต่อขยายที่ 1 และ โครงการรถไฟฟ้าบีทีเอสส่วนต่อขยายที่ 2 ซึ่งข้อแตกต่างที่สำคัญคือ สัญญาส่วนต่อขยายช่วงที่ 1 เป็นสัญญาจ้างบริหารโครงการ แต่สัญญาส่วนที่ 2 เป็นบันทึกมอบหมายให้เดินรถ ซึ่งในบันทึกมอบหมายไม่มีรายละเอียดเรื่องค่าจ้าง เป็นเหมือนตัวเลขคร่าว ๆ
ข้อแตกต่าง ระหว่าง 2 ส่วนนี้ คือ 1. ส่วนต่อขยายที่ 2 ไม่มีการบรรจุอยู่ในงบประมาณรายจ่ายประจำปีของกทม. ดังนั้น สภากทม. จะไม่ทราบเรื่อง ซึ่งถ้าเราเอาเงินไปจ่ายค่าเดินรถ จะต้องอยู่ในงบประมาณของกทม. ทำให้ไม่ได้รับความเห็นชอบจากสภา เราจึงต้องระมัดระวังว่าเราจะจ่ายหนี้ให้กรุงเทพธนาคมได้อย่างไร เพราะโครงการส่วนต่อขยายที่ 2 ไม่ได้ผ่านสภากทม.
กรุงเทพธนาคมจะเก็บหนี้กับ กทม. คือ ส่วนต่อขยายที่ 1 จำนวน 3,800 ล้าน ส่วนต่อขยายที่ 2 ประมาณ1,700 ล้าน และช่วงแบริ่ง 7,565 ล้าน รวม 17,509 ล้าน และงานซื้อขายพร้อมติดตั้งระบบเดินรถ 17,849 ล้าน รวมทั้งหมด 35,459 ล้าน
แต่ในช่วงที่ 1 ที่กทม. ยังไม่ได้จ่ายหนี้ เพราะเป็นกระบวนการตาม ม. 44 ให้เจรจาขยายสัมปทานไปถึงปี 2562 ในที่ประชุมกรรมการตกลงกันว่าเป็นกระบวนการที่อยู่ในการเจราจาเรื่องสัมปทานที่อยู่ในครม.และยังไม่ได้ข้อยุติ ซึ่งส่วนต่อขยายก็อยู่ในระหว่างการเจราจาด้วย จึงต้องพิจารณาให้รอบคอบ ต้องดูว่า กทม. มีอำนาจจ่ายเงินหรือไม่ ที่สำคัญคือ สภา กทม. เป็นผู้อนุมัติการใช้จ่าย กทม. ไม่สามารถเอาเงินไปใช้จ่ายได้โดยไม่ผ่านงบประมาณได้
