โลกปัจจุบันหมุนไวเกินกว่าที่เราจะมายึดติดกับกรอบความคิดเดิมๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องความหลากหลายทางเพศ ที่กำจัดเฉพาะเพศชายและหญิง ถ้าเรายอมรับถึงความแตกต่าง อยู่ร่วมกันอย่างเข้าใจ เคารพซึ่งกันและกัน มองข้ามเรื่องเพศสภาพ โฟกัสเรื่องความสามารถและความเท่าเทียม การคุกคามทางเพศในด้านต่างๆคงไม่เกิดขึ้น เหมือนประเด็นดราม่าที่กำลังร้อนแรงอยู่บนโลกออนไลน์ ยิ่งเดือนนี้รณรงค์เป็น Pride Month หรือ “เดือนแห่งความภาคภูมิใจ” ของกลุ่มผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ LGBTQ+ ยิ่งต้องสร้างความเข้าใจในความแตกต่างและความหลากหลายมากขึ้น
จากกรณีวงดนตรีอินดี้ วงหนึ่งมีการโพสต์เหยียดเพศศิลปินจนกลายเป็นประเด็นร้อนในทวิตเตอร์ และถูกแชร์บนโลกออนไลน์เกือบทุกแพลตฟอร์ม ซี่งการกล่าวถึงรสนิยมทางเพศในทางเสื่อมเสียเป็นการการคุกคามทางเพศ หรือ Sexual Harassment ซึ่งถือเป็นอาชญากรรมรูปแบบหนึ่ง ที่ไม่ว่าใครก็สามารถตกเป็นเหยื่อได้ วันนี้แอดจะมาพูดถึงพฤติกรรมการคุกคามทางเพศและข้อกฎหมายที่ลงโทษต่อผู้กระทำผิดในลักษณะนี้ ถ้าใครรู้ตัวว่ากำลังคุกคามทางเพศผู้อื่นขอเตือนให้หยุดการกระทำนี้ เพราะไม่คุ้มกับการที่ได้รับบทลงโทษทั้งทางกฎหมายและทางสังคม
การคุกคามแบ่งออกได้เป็น 5 รูปแบบ คือ
1.การคุกคามด้วยคำพูดที่ไม่สมควร
2.การคุกคามทางสายตา
3.การคุกคามทางร่างกาย
4.การคุกคามโดยส่งข้อความ ผ่านจดหมายหรือผ่านสื่อสังคมออนไลน์
5.การแอบถ่ายภาพ/คลิป ของเหยื่อในลักษณะลามก ตามสถานที่ต่างๆ
การคุกคามทางเพศที่ได้กล่าวมาข้างต้น อาจเข้าข่ายเป็นความผิดตามกฎหมาย ดังนี้
1.กรณีการคุกคามทางวาจา คุกคามทางสายตา หรือคุกคามโดยการส่งจดหมายหรือข้อความ เข้าข่ายเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 397 วรรคสอง มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
2.กรณีการคุกคามทางร่างกาย หรือการแอบถ่ายภาพ/คลิป เข้าข่ายเป็นความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278 มีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
3.การนำภาพ/คลิป ลามกที่แอบถ่าย ไปส่งต่อในสื่อสังคมออนไลน์ที่ประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้ เข้าข่ายความผิด ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14(4) มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท
หากพบเห็น หรือกำลังตกเป็นเหยื่อของการคุกคามทางเพศ อย่าเพิกเฉย หากพบการกระทำดังกล่าว เพราะจะทำให้ผู้กระทำความผิดได้ใจ และไปก่อเหตุกับบุคคลอื่นได้อีก ให้แจ้งความร้องทุกข์ได้ที่สถานีตำรวจในท้องที่เกิดเหตุ หรือขอความช่วยเหลือได้ที่สายด่วน 191 ตลอด 24 ชั่วโมง
