กรณีครูรายหนึ่งโพสต์จดหมายลาออกพร้อมระบุถึงระบบการทำงานและเอกสารที่มากเกินความจำเป็น รวมทั้งปัญหาระบบการประเมินครู ที่มองว่าเป็นเรื่องที่สิ้นเปลืองเวลาและงบประมาณ จึงขอลาออกเพราะคิดว่าทำงานไม่คุ้มค่า นั้น
นายอัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาธิการ กพฐ.) เปิดเผยว่า จากการสอบถามข้อเท็จจริงจากผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครสวรรค์ เขต 2 ต้นสังกัดโรงเรียนของข้าราชการครูรายดังกล่าว พบว่า ผู้อำนวยการโรงเรียนได้มอบหมายให้ข้าราชการครูรายนี้ทำหน้าที่ครูผู้สอนนักเรียนชั้นอนุบาล 3 มีนักเรียน 28 คน โดยไม่ได้มอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่อย่างอื่น เนื่องจากเพิ่งย้ายมาเมื่อปลายปีการศึกษา 2563 ต่อมาด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทางโรงเรียนไม่สามารถจัดการเรียนการสอนในรูปแบบ On Site ได้ จึงได้จัดในรูปแบบ On Hand และ On Demand
ทั้งนี้ผู้บริหารโรงเรียนได้มอบหมายให้ครูแต่ละคนออกแบบการจัดการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับนักเรียนในแต่ละระดับชั้น พร้อมกับรายงานให้ผู้บริหารโรงเรียนได้รับทราบเป็นระยะ เพื่อเป็นการกำกับ ติดตาม และช่วยเหลือสนับสนุนการจัดการเรียนการสอน ซึ่งทางโรงเรียนได้สนับสนุนวัสดุอุปกรณ์ให้ครูทุกคนได้อย่างเพียงพอ โดยไม่ได้กำหนดให้จัดทำเอกสารอื่นๆ ที่นอกเหนือจากภาระหน้าที่นั้น
กรณีที่ข้าราชการครูได้ยื่นใบลาออกโดยให้พร้อมระบุเหตุผลตามที่ปรากฎในสื่อนั้น ทราบว่าเป็นความเห็นส่วนตัวในเรื่องของการจัดทำเอกสารหลักฐานว่าด้วยระเบียบวิธีการขอเลื่อนตำแหน่งหรือวิทยฐานะครู ที่ต้องจัดทำเอกสารขึ้นโดยไม่ส่งผลต่อคุณภาพผู้เรียนอย่างแท้จริง
สำหรับกรณีการจัดการเรียนการสอนในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 พบข้าราชการครูรายดังกล่าวไม่สามารถออกแบบการจัดการเรียนการสอนได้อย่างเต็มที่ เช่น ขอความร่วมมือผู้ปกครองในชั้นอนุบาลให้อัดคลิปกิจกรรมของนักเรียนตามใบงานที่กำหนด ปรากฏว่ามีผู้ปกครองไม่กี่รายที่สามารถอัดคลิปและส่งให้ดูได้ จึงเกิดความรู้สึกว่าไม่ได้ทำหน้าที่ในฐานะเป็นครูอย่างเต็มที่จึงยื่นหนังสือขอลาออก
อย่างไรก็ตามทางสพป.นครสวรรค์ เขต 2 ได้ดำเนินการตรวจสอบเอกสารหลักฐานการยื่นหนังสือลาออก พบว่าหนังสือขอลาออกไม่เป็นไปตามระเบียบ ก.ค.ศ. ว่าด้วยการลาออกของข้าราชการครู จึงแจ้งให้โรงเรียนประสานข้าราชการครูรายดังกล่าวดำเนินการให้ถูกต้องตามระเบียบซึ่งขณะนี้ยังไม่มีการอนุญาตให้ลาออกแต่อย่างใด
