นายแพทย์ณรงค์ สายวงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขและโฆษกกระทรวงสาธารณสุข ชี้แจงประเด็น การจัดสรรวัคซีนไฟเซอร์ที่ได้รับจากสหรัฐฯ 1.5 ล้านโดสว่า ประเทศไทยจะได้รับวัคซีนไฟเซอร์รวม 21.54 ล้านโดส โดยล็อตแรก จำนวน 1.54 ล้านโดสเป็นวัคซีนที่ได้รับบริจาคจากรัฐบาลสหรัฐฯ จะเข้ามาภายในเดือนกรกฎาคมนี้และวัคซีนที่สั่งซื้อจำนวน 20 ล้านโดสจะได้รับในไตรมาส 4 ปี 2564
ขณะที่คณะอนุกรรมการอำนวยการบริหารจัดการการให้วัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ตั้งคณะ ทำงานด้านบริหารจัดการการให้บริการวัคซีน กรณีวัคซีนไฟเซอร์ (Pfizer) จะมีผู้ทรงคุณวุฒิจากทุกภาคส่วนร่วมพิจารณาจัดสรรและกระจายวัคซีนไฟเซอร์ให้กลุ่มเป้าหมายตามมติที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 (ศบค.) โดยล็อตแรกจำนวน 1.54 ล้านโดสจะเริ่มฉีดต้นเดือนสิงหาคม 2564 ในกลุ่มบุคลากรการแพทย์และสาธารณสุข/ บุคลากรด่านหน้า ไม่น้อยกว่า 5 แสนโดส ที่เหลือจัดสรรไปยังกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ ผู้สูงอายุ ผู้มีโรคเรื้อรัง 7 กลุ่มโรค และหญิงตั้งครรภ์อายุครรภ์ 12 สัปดาห์ขึ้นไปและพื้นที่เสี่ยงอื่น ๆ เพื่อควบคุมการระบาดในพื้นที่ สำหรับวัคซีนไฟเซอร์อีก 20 ล้านโดสจะเข้ามาในประเทศไทยและเริ่มฉีดได้ช่วงเดือนตุลาคมถึงธันวาคม 2564 การจัดสรรจะอยู่ภายใต้การพิจารณาของคณะทำงานฯ วัคซีนไฟเซอร์ ดังนั้นจึงไม่มีการนำไปฉีดให้กับกลุ่มคน VIP และเครือญาติแต่อย่างใด
นายแพทย์ณรงค์ สายวงศ์ กล่าวยืนยันว่า กรณีข่าวการจัดสรรวัคซีนไฟเซอร์ให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุข/ด่านหน้าเหลือ 2 แสนโดสนั้น ขอย้ำว่าไม่เป็นความจริง การจัดสรรวัคซีน กระทรวงสาธารณสุขให้ความสำคัญกับบุคลากรด้านการแพทย์และด่านหน้าเพื่อธำรงรักษาระบบสาธารณสุขของประเทศ รับมือกับสถานการณ์การระบาดของโควิด 19 บุคลากรด่านหน้าทุกคนต้องได้รับวัคซีนเข็มที่ 3 เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ซึ่งขณะนี้บุคลากรบางส่วนที่ฉีดวัคซีนซิโนแวค 2 เข็ม และฉีดเข็ม 3 เป็นแอสตร้าเซนเนก้า การฉีดเป็นไปตามความสมัครใจ ไม่มีการบังคับให้ฉีดเข็มกระตุ้นเป็นแอสตร้าเซนเนก้า ขณะนี้ได้ให้ทุกโรงพยาบาลสำรวจข้อมูลบุคลากรด่านหน้าและจะฉีดวัคซีนให้ตามที่ได้แจ้งไว้